สามีภริยาไม่ได้จดทะเบียนฝ่ายหนึ่งปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินอีกฝ่าย ผลเป็นอย่างไร |
|||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน โดยมิได้จดทะเบียนสมรสทำมาหาเลี้ยงชีพร่วมกันจำเลยกับผู้ร้องได้ร่วมกันปลูกเรือนพิพาทในที่ดินของผู้ร้อง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าผู้ร้องยินยอมให้ใช้ที่ดินของผู้ร้องปลูกเรือนพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยกับผู้ร้องร่วมกัน จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามที่ผู้ร้องยินยอม กรณีเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 109 ไม่ถือว่าเรือนพิพาทเป็นทรัพย์ส่วนควบกับที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ผู้เดียว หากแต่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับผู้ร้องร่วมกัน เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในเรือนพิพาท ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยจากการยึดทรัพย์ คงมีแต่สิทธิขอกันส่วนของตนออกมิให้ถูกบังคับชำระหนี้ให้โจทก์เท่านั้น ___________________________
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่นำยึดนั้นจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ มีสิทธิแต่เพียงขอกันส่วนของตน ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นเสีย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้ร้องซื้อที่พิพาทมาก่อนอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วม โจทก์นำยึดไม่ได้ส่วนเรือนพิพาท ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล แล้วรื้อมาปลูกในที่ดินดังกล่าวระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลย ถือได้ว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์จึงมีอำนาจยึดเรือนพิพาทขายชำระหนี้ได้พิพากษาแก้ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องเฉพาะเรือนพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นเจ้าของเรือนพิพาทร่วมกันนั้น ชอบแล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาว่า เรือนพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดิน ต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องนั้น เห็นว่า แม้ผู้ร้องกับจำเลยจะเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสแต่ก็ได้มีการประกอบกิจการทำมาหาเลี้ยงชีพ จัดการทรัพย์สินร่วมกัน จนมีทรัพย์สินเกิดขึ้นเป็นเจ้าของร่วมกัน เช่น เรือมาดและอวน เป็นต้น พฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้ร้องยินยอมให้ใช้ที่ดินของผู้ร้องปลูกเรือนพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยกับผู้ร้องร่วมกัน จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามที่ผู้ร้องยินยอม กรณีเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 109 ไม่ถือว่าเรือนพิพาทเป็นทรัพย์ส่วนควบกับที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ผู้เดียวหากแต่ยังคงเป็นกรรมสิทธิของจำเลยร่วมกับผู้ร้อง เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1856/2512 ระหว่าง นายอิ๋วจัว แซ่ตั้ง โจทก์นายคาร ศรีระ จำเลย นางกันหา คลังใหญ่ ผู้ร้องขัดทรัพย์ เมื่อฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในเรือนพิพาท มิใช่เป็นของผู้ร้องแต่ผู้เดียวแล้ว ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยจากการยึดทรัพย์ คงมีแต่สิทธิขอกันส่วนของตนออกมิให้ถูกบังคับชำระหนี้ให้โจทก์เท่านั้นฎีกาของผู้ร้องในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้นดุจกัน พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความในชั้นฎีกาให้เป็นพับ |
|||||||||